โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้บริหาร ส่วนมากมักมีหน้าที่ทำให้ระบบที่มีอยู่แล้วยังคงทำงานได้แบบเดิม การจะทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่มีความสุข แล้วไปลดความสุขของลูกค้าบางคน จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ผู้บริหารมักถูกกดดันโดยหลายเรื่อง เช่น การบริหารความเสี่ยงในองค์กร ลำดับความสำคัญของงาน การสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน จนทำให้เกิดความเชื่อฝังหัวขึ้นมาหลายอย่าง
ผมลองยกตัวอย่างความเชื่อที่ขัดกับแนวทาง UX มาซัก 5 อย่างครับ
เลือกเข้าตลาดก่อนแทนที่จะทำสินค้าให้ดีการเอาสินค้าออกสู่ตลาดก่อนเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ถ้าสินค้าของเรายังไม่ดีพอมันจะสร้างความประทับใจทางลบ และทำให้โอกาสที่จะกลับมาเลือกเราอีกครั้งเป็นเรื่องยาก ดังนั้นให้แน่ใจว่าเราทำของดี แล้วค่อยปล่อยออกไป
เลือกเก็บเงินไว้แทนที่จะลงทุนในเรื่องประสิทธิภาพผมมองว่าประสิทธิภาพนั้นเงินซื้อไม่ได้ ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่จะเอาเงินแลกประสิทธิภาพได้ ก็อย่าปล่อยโอกาสนั้นไป
ใช้แนวทาง Six Sigma ในการสร้างนวัตกรรมแนวทางของ Six sigma เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นในการลดความผิดพลาด ลดความสูญเปล่า และลดการแก้ไขตัวชิ้นงาน และสอนให้พนักงานรู้แนวทางในการทำธุรกิจอย่างมีหลักการ และจะไม่พยายามจัดการกับปัญหาแต่จะพยายามกำจัดปัญหาทิ้ง ดังนั้นเมื่อเรานำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างนวัตกรรมมันจะขัดกันเพราะ นวัตกรรมในช่วงเริ่มต้นมักจะสร้างปัญหา และมีความสูญเปล่ามากมาย จนกว่ามันจะถูกขัดเกลาไปสักพัก
พยายามตามเก็บ feature ให้ทันคู่แข่ง แทนที่จะพยายามสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่แตกต่างถ้าเราคิดไม่ทันคู่แข่ง เราจะเน้นลอกของคู่แข่งเพราะง่ายกว่า และเห็นผลชัดเจน แต่สุดท้ายก็จะยากมากที่จะเอาชนะคู่แข่ง ทางที่ดีคือหาทางเล่นในเล่นในเกมส์ของตัวเอง เหมือนที่ Amazon ฉีกตัวเองไปจากแนวทางที่ Apple สร้างไว้
ออกแบบโดยแน้นหน้าตาที่สวยงาม โดยยึดติดกับการตลาดและสิ่งที่จะใช้โฆษณางานออกแบบควรสวยงามเป็นเรื่องจริงครับ แต่เราไม่ควรยึดเรื่องนี้เป็นหลัก ความสวยงามควรจะมาหลังจากที่โปรแกรมตอบโจทย์ของลูกค้าแล้ว และไม่ควรยึดติดกับแนวทางการตลาดที่วางไว้ จริงๆ แนวทางการตลาดควรพร้อมปรับตัวเพื่อให้ได้ UX ที่ดี
ที่มา : หนังสือ Effective UI
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น